เริ่มด้วย Macd เรียกเต็มๆว่า Moving Average Convergent Divergent
Macd สามารถบอกแนวโน้มได้ บอกการเกิด Overbought Oversold
และสามารถหาการการเกิด Divergent
Macd ขอยกให้เป็นราชาแห่ง Indicator ใช้ได้ดีกับทุกช่วงเวลา
(Overbought = อยู่ในสภาพที่มีแรงซื้อมากเกินไป อิ่มตัวขาขึ้น แต่ไม่ใช้หมายความว่าเป็นจังหวะขายเสมอๆไป เพราะการอิ่มตัวขาขึ้นกราฟอาจจะวิ่งต่อได้ )
(Oversold = อยู่ในสภาพที่มีแรงขายมากเกินไป อิ่มตัวขาลง แต่ไม่ใช้หมายความว่าเป็นจังหวะซื้อเสมอๆไป เพราะการอิ่มตัวขาลงกราฟอาจจะวิ่งต่อได้เหมือน )
Macd คือการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใช้หากำลังแนวโน้มของทิศทางว่ามีพลังมากน้อยแค่ไหน ช่วยในการยืนยันของการมองกราฟอีกชั้นเพื่อความถูกต้องและน่าจะเป็นในทิศทางที่่จะเกิดขึ้น
การบอกสัญญาณของ Macd
เส้นน้ำเงินตัดแดงขึ้น คือสัญญาณ ซื้อ
เส้นน้ำเงินตัดแดงลง คือสัญญาณ ขาย
สัญญาณที่บอก ซื้อ ที่ชัดเจนขึ้น เมื่อเส้นMacd(น้ำเงินตัดแดงขึ้น) อยู่ต่ำกว่า 0 แล้ววิ่งขึ้นเหนือ 0 ขึ้นไปได้ เป็นสัญญาณที่บอกการ ซื้อ ชัดเจนขึ้น
สัญญาณที่บอก ขาย ที่ชัดเจนขึ้น เมื่อเส้นMacd(น้ำเงินตัดแดงลง) อยู่เหนือ 0 แล้ววิ่งลงต่ำกว่า 0 ลงมาไปได้ เป็นสัญญาณที่บอกการ ขาย ชัดเจนขึ้น
ข้อเสียของ Macd
บางครั้งจะให้สัญญาณช้าไป
ไม่เหมาะกับช่วงเกิด Sideway
บางครั้งจะเกิดสัญญาณหลอกเกิดขึ้น
อย่าใช้ Indicator นำการเข้าเทรด ซื้อ ขาย เด็ดขาด (สัญญาณหลอกมีเยอะ)
วิธีใช้ Macd
ให้มอง กราฟเป็นตัวนำเสมอๆ
Macd (เป็นตัวรองเสมอๆ) แค่เป็นตัวช่วยตรวจสอบทิศทาง เพื่อยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง
ควรมองกราฟให้ออกก่อนว่าแนวโน้มไปทิศทางเดียวกับ Macd ถึงจะใช้ Macd ช่วยยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง
Divergence
เกิดจากการขัดแย้งกัน ระหว่างราคาในกราฟ และ Indicators
เครื่องมือที่เหมาะกับการดู Divergence มักนิยมใช้ Macd , Rsi ส่วน stochastic ดูได้เช่นกันแต่มักจะให้สัญญาณหลอกเยอะเกินไป
Bullish Divergence เกิดจากราคาในกราฟ ยังลงต่อ แต่ Macd มีทิศทางขึ้น เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกได้ถึงราคาในกราฟจบขาลงและเตรียมกลับทิศเป็นแนวโน้มขาขึ้น (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่)
Bearish Divergence เกิดจากราคาในกราฟ ยังขึ้นต่อ แต่ Macd มีทิศทางลง เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกได้ถึงราคาในกราฟจบขาขึ้นและเตรียมกลับทิศเป็นแนวโน้มขาลง (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาลงรอบใหม่)
Hidden Bullish Divergence
เกิดจากราคาในกราฟเริ่มมีแนวโน้มจากต่ำไปสูงใหม่(higher low ) แต่ Macd มีทิศทางลงแล้วลงต่อ(lower low) เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกแนวโน้มของกราฟขึ้นต่อ (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่)
Hidden Bearish Divergence
เกิดจากราคาในกราฟเริ่มมีแนวโน้มจากสูงไปต่ำใหม่ (lower high ) แต่ Macd มีทิศทางขึ้นแล้วขึ้นต่อ(higher high) เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกแนวโน้มของกราฟลงต่อ (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาลงรอบใหม่)
Bullish Divergence
Bearish Divergence
สองแบบนี้ บอกถึงการกลับตัวของราคา price reverse
Hidden Bullish Divergence
Hidden Bearish Divergence
สองแบบนี้ บอกถึงการวิ่งไปต่อของแนวโน้ม price follow
ข้อเสียของ Divergence
บางครั้งจะเกิดการหลอก(false)บ่อยเช่นกัน
ไม่ควรใช้เป็นสัญญาณเข้าเทรด ซื้อ ขาย (ควรดูแนวโน้ม ยืนยันความถูกต้องก่อน)
หลักการใช้
ควรดูแนวโน้มของกราฟให้ออกก่อนว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับการเกิด Divergence เพื่อยืนยันความถูกต้อง(ไม่โดนหลอก)
การเกิด double top or double bottom ในกราฟหรือใน Indicators ถือว่าเป็นการเกิดสัญญาณ Divergence เช่นกัน
ดูสัญญาณตามรูปครับในภาพน่าจะมองง่าย
การเกิด Bullish Divergence
Bearish Divergence
มักจะเกิดให้เห็นเสมอๆในทุกๆช่วงเวลา บอกได้ถึงการกลับตัวมามีแนวโน้มครั้งใหม่อีกครั้งแต่เพื่อความมั่นใจในความถูกต้องควรใช้เครื่องมืออย่างอื่นช่วยยืนยันด้วย
จะได้ไม่โดนกราฟหลอกครับและบางครั้งมักจะเกิดช่วงเป็น double top double bottom ให้เห็นด้วยเช่นกัน
ส่วนการเกิด Hidden Bullish Divergence
Hidden Bearish Divergence สองแบบนี้นานๆครั้งถึงจะเกิดให้เห็น
RSI เรียกเต็มๆว่า Relative Strength Index
เป็นเครื่องมือบอกถึงความแข็งแกร่งและบอกการเกิดแนวโน้ม
บอกการเกิด Overbought (อิ่มตัวขาขึ้น) , Oversold (อิ่มตัวขาลง)
บอกการเกิด Divergence ได้เช่นกัน
Rsi เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากเช่นกัน
โดยจะแนะนำให้ใช้ค่าเดิม Rsi(14)
การดูเส้น Rsi ดูที่ระดับ 30 กับ 70
ต่ำกว่าเส้น 30 คืออยู่ในเขต Oversold ช่วงอิ่มตัวขาลงเป็นช่วงแรงขายมาก
แต่บางครั้งถ้าเทรนแนวโน้มยังคงเป็นขาลงก็ยังไม่สามารถซื้อได้ถ้าเทรนยังลงอยู่
เหนือกว่าเส้น 70 คืออยู่ในเขต Overbought ช่วงอิ่มตัวขาขึ้นเป็นช่วงแรงซื้อมาก
แต่บางครั้งถ้าเทรนแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้นก็ยังไม่สามารถขายได้ถ้าเทรนยังขึ้นอยู่
วิธีใช้ Rsi
ให้มอง กราฟเป็นตัวนำเสมอๆ คือมองแนวโน้มให้ออกก่อน (ไม่ควรใช้ตอน Sideway)
Rsi (เป็นตัวรองเสมอๆ) แค่เป็นตัวช่วยตรวจสอบทิศทาง เพื่อยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง
ควรมองกราฟให้ออกก่อนว่าแนวโน้มไปทิศทางเดียวกับ Rsi ถึงจะใช้ Rsi ช่วยยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง
ข้อเสียของ Rsi
ไม่เหมาะกับช่วงเกิด Sideway
บางครั้งจะเกิดสัญญาณหลอกเกิดขึ้น
อย่าใช้ Indicator นำการเข้าเทรด ซื้อ ขาย เด็ดขาด (สัญญาณหลอกมีเยอะ)
ดูตัวอย่างของการใช้Rsi และการเกิด divergence
Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
โดยจะแนะนำ EMA เรียกว่า Exponential Moving Average
โดยเส้น Ema50 ผู้ใช้ได้ทดลองใช้แล้วคิดว่าลงตัวและใช้ได้ดี (ส่วนใครอยากทดลองใช้เส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆก็ได้เช่นกันโดยมองด้วยตาแล้วคิดว่าลงตัวและเหมาะกับนิสัยที่เราเทรด)
เส้นค่าเฉลี่ยสามารถบอกได้ถึง จุดซื้อ จุดขายของการยืนเหนือเส้นและใต้เส้น
และการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นบอกการซื้อ และ ขาย
สามารถบอกได้ถึงแนวรับ แนวต้าน เมื่อวิ่งมาชนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
โดยจะเริ่มที่เส้น EMA50
วิธีใช้ ยืนเหนือเส้น buy
ยืนใต้เส้น Sell
ช่วงเกิด Sideway เส้น Ema50จะเกิดการหลอก (งดดูช่วงนี้)
ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้ Ema50 ยืนยัน
ข้อเสีย
ยังคงมีสัญญาณหลอกเยอะเช่นกันไม่ควรใช้เป็นตัวนำ
ควรใช้เป็นตัวรองช่วยการยืนยันความถูกต้องจะดีกว่า
จากการใช้เส้น Ema 50 เส้นเดียว
เพื่อการซื้อ การขาย ถูกต้องมากขึ้นก็จะเพิ่มเส้น Ema10(ให้สัญญาณเร็วขึ้น)
โดยเส้น Ema10 ตัด Ema50 ขึ้นได้คือสัญญาณ ซื้อ
Ema10 ตัด Ema50 ลงได้คือสัญญาณ ขาย
ข้อเสีย
มีสัญญาณหลอกช่วง Sideway เยอะเช่นกัน
ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้เส้นค่าเฉลี่ยยืนยันความถูกต้อง
(สามารถใช้เส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆได้เช่นกันต้องทดสอบดูว่าเหมาะกับนิสัยเราแบบไหนในการเข้าเทรด)
ดูระดับเส้นค่าเฉลี่ย Ema
เริ่มจาก ระดับ Ema 5 10 15 20 เป็นเส้นระยะสั้น
ไม่เหมาะกับการใช้โดดเดี่ยวเพราะสัญญาณหลอกจะเยอะครับ เหมาะกับไว้ใช้เส้นตัดการขึ้น ลง ของเส้นระยะกลาง และระยะยาวมากกว่าเพื่อหาการจังหวะเข้าซื้อ ขาย
ระดับ 50 75 100 เส้นระดับกลาง
ใช้ได้ดีจุดหลอกจะน้อยลง ดูแนวรับแนวต้านได้เช่นกัน ใช้เส้นเดียวก็ได้ยืนเหนือเส้น ซื้อ ต่ำกว่าเส้น ขาย และเหมาะกับใช้เส้นระยะสั้นผสมยืนยันกัน ซื้อ ขาย
ระดับ 150 200 ระยะยาว
เหมาะกับการดูเป็นแนวรับ แนวต้านที่แข็งแรงมากกว่าและเหมาะกับเส้นเดียวเพื่อเล่นระยะยาว ยืนเหนือเส้น ซื้อ ต่ำกว่าเส้น ขาย และไว้ตัดกับระยะสั้นช่วยยืนยันได้
เมื่อรู้แล้วว่า เส้นค่าเฉลี่ยจากน้อยไปมาก แบบไหนเหมาะกับเราก็สามารถเอามาต่อยอดกับระบบเราได้
โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวช่วย ยืนยัน ความถูกต้องของทิศทางนั่นๆ
ข้อเสียของ เส้นค่าเฉลี่ยคือ sideway จะเสียหาย
ข้อดี คือ เมื่อเราเลือกเส้นได้เหมาะสมกับค่าเงินสกุลนั่นๆ เมื่อถูกทางจะกำไรสูง
(ได้เป็นรอบๆของการจบการขึ้น การลง)
ทดลองนำเอาเครื่องมือมาร่วมกับ
Macd กับ Ema50
Macd กับ ema50 ตัดกับ ema10
Rsi กับ Ema50
เพื่อยืนยันความถูกต้องของทิศทางได้ดีขึ้น
หลักการ ต้องมองหาแนวโน้มก่อนเสมอๆ แล้วจึงใช้เครื่องมือช่วยยืนยัน
ข้อเสีย sideway (สัญญาณหลอกบ่อย)
(เมื่อรู้แล้วว่า เครื่องมือหลายๆแบบสามารถให้สัญญาณได้ดีช่วงมีแนวโน้ม นักลงทุนก็สามารถเอาไปประยุกต์ตามนิสัยการเทรดของตัวเองให้มั่นใจมากขึ้น)
เริ่มต่อยอดโดย Rsi เส้นเดียวเราจะเพิ่มลูกเล่นโดยการใส่เส้น Ema เข้าไปเพิ่มเพื่อช่วยยืนยันการขึ้น การลง
โดย เส้น Rsi ตัดเส้น Ema ขึ้นไปคือสัญญาณ ซื้อ
เส้น Rsi ตัดเส้น Ema ลงมาคือสัญญาณ ขาย
โดยก็ต้องมองพื้นฐานด้วยเช่นกันว่าแนวโน้มเป็นยังไง เดินทิศทางเดียวกับ เครื่องมือนี้รึเปล่าเพื่อยืนยันการถูกต้อง
จุดอ่อนของ เครื่องมือนี้คือ การ sideway
เครื่องมือที่ช่วยหาเป้าหมาย Fibonacci Retracement
โดยสามารถบอกได้ถึงระดับช่วงพักตัวและการหาเป้าหมาย
โดยจะแบ่งเป็นช่วงๆได้ดังนี้
ช่วงจุดพักตัว ระดับของ Fibonacci มักจะอยู่แถวๆระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 ทั้ง 5 ระดับนี้มักจะเป็นจุดแนวรับ แนวต้านที่ดีของการพักตัว(ทั้งระดับขาขึ้นและขาลง)
Fibonacci ใช้หาเป้าหมายในอนาคตนั่นมักจะอยู่แถวๆระดับ 161.8 261.8 423.6 เสมอๆ
ผมได้ทดลองใช้มานานพอสมควร จึงแนะนำว่า มีแค่สองหลักง่ายๆแค่นี้ครับ มองระดับการพักตัว และมองหาเป้าหมายตามที่บอก
วิธีการลาก Fibonacci Retracement
หาแนวโน้มขาลงให้ลากจาก ต่ำสุดไปหาสูงสุดของแนวโน้มอดีต(ที่จบแนวโน้มนั่นแล้ว)
หาแนวโน้มขาขึ้นให้ลากจาก สูงสุดลงมาต่ำสุดของแนวโน้มอดีต(ที่จบแนวโน้มนั่นแล้ว)
การลากเมื่อพักตัวในระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 เป็นระดับทดสอบ เมื่อผ่านไปได้ก็จะสามารถเห็นเป้าหมายที่ระดับ 161.8
การพักตัวของแนวโน้มนั่นๆบอกได้ถึงการพักตัว(สะสมแรง)แล้วดีดไปต่อ
การหาการพักตัวและเป้าหมายขาขึ้น
หลักการต้องหมดหลุดแนวโน้มรอบนั่นๆก่อนถึงจะเริ่มลากเพื่อหาเป้าหมาย
การหาการพักตัวและเป้าหมายขาลง
หลักการต้องหมดหลุดแนวโน้มรอบนั่นๆก่อนถึงจะเริ่มลากเพื่อหาเป้าหมาย
Fibonacci Retracement นั่นสำหรับมือใหม่อาจจะงงว่าจะลากใหญ่แค่ไหน รอบประมาณไหน ลากแบบใหญ่ ลากแบบกลางๆ ลากแบบเล็ก ทุกแบบบางคนจะลากต่างกัน(ลากๆไปบ่อยๆครับเอาที่จบการขึ้นลงของเก่าแล้ว) สิ่งที่สำคัญคือ ระดับตัวเลขในกรอบนั่น อย่างที่บอกจุดพักตัวมักจะเกิดที่ระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 จุดเป้าหมายมักจะได้เห็นที่ 161.8 261.8 423.6 เสมอๆ
จะให้ตัวเลข Fibonacci ที่มีนัยสำคัญได้และแม่นยำต้องหมดการจบเทรนรอบเก่าแล้วจึงลาก พูดง่ายๆคือจบการขึ้นกราฟกำลังจะลงก็ลากของการขึ้นเพื่อดูตัวเลขตามระดับต่างๆของการลง จบการลงแล้วกราฟกำลังขึ้นก็ลากการลงเพื่อดูตัวเลขตามระดับต่างๆของการขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น